เมนู

9. ฉันนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระฉันนเถระ


[206] ได้ยินว่า พระฉันนเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราฟังธรรมมีรสอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้เป็นมหาสมณะ ได้ดำเนินไปสู่ทางอันพระ
พุทธเจ้าผู้มีญาณอันประเสริฐ กล่าว คือ ความเป็นผู้รู้
ธรรมทั้งปวง ทรงแสดงไว้แล้ว เพื่อบรรลุอมตธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ฉลาดใน
ทาง อันเกษมจากโยคะ.

อรรถกถาฉันนเถรคาถา


คาถาของท่านพระฉันนเถระ เริ่มต้นว่า สุตฺวาน ธมฺมํ มหโต
มหารสํ.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้น ๆ เกิดในเรือนแห่ง
ตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึง
ความเป็นผู้รู้แล้ว ในวันหนึ่ง เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สิทธัตถะ
เข้าไปสู่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง มีจิตเลื่อมใส ได้ปูอาสนะที่ลาดด้วยใบไม้ มีสัมผัส
อันอ่อนนุ่มถวาย และโรยด้วยดอกไม้รอบ ๆ ทำการบูชา ด้วยบุญกรรมนั้น

เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแม้อื่นอีกเป็นอันมาก ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภพ
นั่นแหละ เกิดในท้องของนางทาสี ในพระราชวังของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้มีนามว่า ฉันนะ เป็น
สหชาตกับพระโพธิสัตว์.
นายฉันนะได้มีศรัทธาจิต ในสมาคมแห่งพระญาติ ของพระบรมศาสดา
บวชแล้ว ด้วยความจงรักในพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดการถือตัว (มมังการ)
ขึ้นว่า พระพุทธเจ้าของเรา พระธรรมของเรา ไม่สามารถจะตัดสิเนหา
ได้ ไม่บำเพ็ญสมณธรรม เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว ถูกคุกคาม
ด้วยพรหมทัณฑ์ อันพระศาสดาทรงกระทำ โดยวิธีนัดหมายถึงความสลดใจ
ตัดสิเนหาออกได้ พิจารณาเห็นแจ้ง บรรลุพระอรหัต โดยกาลไม่นานนัก.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้ถวายอาสนะที่ลาดด้วยใบไม้ แด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ และได้เอา
ดอกโกสุม ที่นำมาโปรยลงโดยรอบ เราได้เสวยห้อง
อันน่ารื่นรมย์ มีค่ามาในปราสาท ดอกไม้มีค่ามาก
ตกลงบนที่นอนของเรา เรานอนบนที่นอนอันงดงาม
ลาดด้วยดอกไม้ และฝนดอกไม้ ตกลงบนที่นอน
ของเราในกาลนั้น ในกัปที่ 94 แต่ภัทรกัปนี้ เราถวาย
อาสนะที่ลาดด้วยใบไม้ใด ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จัก
ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งถวายเครื่องลาด เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ 7 พระองค์ พระนามว่า ติณสันถรกะ
เป็นจอมคนอุบัติแล้ว ในกัปที่ 5 แต่ภัทรกัปนี้. เรา
เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เป็นผู้เอิบอิ่มไปด้วยวิมุตติสุข
เมื่อจะเปล่งอุทาน ระบายกำลังแห่งปีติ ได้กล่าวคาถาว่า
เราฟังธรรมมีรสอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้เป็นมหาสมณะ ได้ดำเนินไปสู่ทาง อัน
พระพุทธเจ้าผู้มีพระญาณอันประเสริฐ ด้วยพระ
สัพพัญญุตญาณทรงแสดงไว้แล้ว เพื่อบรรลุอมตธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ฉลาดใน
ทางอันเกษมจากโยคะ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตฺวาน แปลว่า ฟังแล้ว ได้แก่เงี่ยโสต
ลงสดับ ตามคลื่นเสียงเข้าไปทรงไว้โดยสมควรแก่โสตทวาร.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ อริยสัจจธรรมทั้ง 4. บทว่า มหโต ได้แก่
พระผู้มีพระภาคเจ้า แท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้า ชาวโลกขนานพระนามว่า มหา
ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้น อันยิ่งใหญ่คือโอฬารที่สุด และ
เพราะเป็นผู้อันชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกควรบูชา เป็นเหตุให้พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้น เกิดสมัญญาพระนามว่า พระมหาสมณะ. ก็บทว่า
มหโต ธมฺมํ สุตฺวาน นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า มหารสํ ความว่า ชื่อว่ามีรสโอฬาร เพราะเป็นธรรมที่ให้
วิมุตติรส.
บทว่า สพฺพญฺญุตญาณวเรน เทสิตํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า สัพพัญญู เพราะทรงรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง ความมีแห่งพระ
สัพพัญญูนั้น ชื่อว่า สัพพัญญุตา พระญาณนั่นแหละประเสริฐ หรือประเสริฐ
ในพระญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ญาณวร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง

พระนามว่า สัพพัญญุตญาณวระ เพราะพระองค์ทรงมีพระญาณอันประเสริฐ
ประกอบความว่า ฟังธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระญาณอันเลิศ กล่าว
คือ พระสัพพัญญุตญาณนั้นทรงแสดงแล้ว คือ ตรัสแล้ว หรือทรงแสดง
เพราะมีเหตุ. ก็คำใดที่ควรกล่าวในอธิการนี้ คำนั้นพึงทราบ โดยนัยดังกล่าว
แล้ว ในอรรถกถาอิติวุตตกะ ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี.
บทว่า มคฺคํ ได้แก่ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ 8.
บทว่า ปปชฺชึ แปลว่า ดำเนินไปแล้ว.
บทว่า อมตสฺส ปตฺติยา ประกอบความว่า ดำเนินไปสู่ทางอันเป็น
อุบาย แห่งการบรรลุพระนิพพาน.
บทว่า โส แก้เป็น โส ภควา แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
บทว่า โยคกฺเขมสฺส ปถสฺส โกวิโท ความว่า เป็นผู้ฉลาด
ในทางแห่งพระนิพพาน อันโยคะทั้ง 4 ไม่ประทุษร้ายแล้วนั้น คือเป็นผู้ฉลาด
ด้วยดี ในทางแห่งพระนิพพานนั้น. ก็ในบาทคาถาว่า โยคกฺเขมสฺส ปถสฺส
โกวิโท นี้ มีอธิบายว่า เราฟังการแสดงอริยสัจ 4 ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วดำเนินไปสู่ทางอันเป็นอุบายเครื่องบรรลุอมตธรรม คือ เราทำแนวทาง
แห่งข้อปฏิบัติ ได้แก่ แม้เราเองก็อาศัยวิธีการของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นแหละ ผู้ฉลาดในทางอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ โดยประการ
ทั้งปวง คือ ฉลาดในสันดานของผู้อื่น หรือฉลาดในการฝึกใจผู้อื่น
ดำเนินไปตรงทาง. ก็คาถานี้แหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของ
พระเถระ.
จบอรรถกถาฉันนเถรคาถา

10. ปุณณเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณเถระ


[207] ได้ยินว่า พระปุณณเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ในโลกนี้ ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ว่าผู้มีปัญญาเป็น
ผู้สูงสุด ความชนะย่อมมี เพราะศีลและปัญญา ทั้ง
ในหมู่มนุษย์และเทวดา.

จบวรรคที่ 7

อรรคกถาปุณณเถรคาถา


คาถาของท่านพระปุณณเถระเริ่มต้นว่า สีลเมว. เรื่องราวของท่าน
เป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนั้น ก็มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัย แห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในตระกูล
พราหมณ์ ในโลกที่ว่างจากพระพุทธเจ้า ในกัปที่ 91 แต่ภัตรกัปนี้ เจริญวัย .
แล้ว สำเร็จการศึกษาในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย
ละฆราวาสวิสัย แล้วบวชเป็นดาบส สร้างบรรณกุฎิ แล้วอยู่อาศัย ณ หิมวันต-
ประเทศ.
ณ ที่เงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่ซึ่งพระดาบสนั้นอยู่. พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า อาพาธ ปรินิพพานแล้ว. ในสมัยที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น
ปรินิพพาน ได้มีแสงสว่างลุกโพลงขึ้น. ดาบสเห็นแสงสว่างนั้นแล้ว เหลียว